(Sharp & Flat)

เครื่องหมาย ชาร์ฟ และ แฟล็ท (Sharp & Flat)

            จากที่ได้รู้จักเสียงดนตรีทั้ง 7 เสียงนั้นถือเป็นระดับเสียงตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งระดับเสียงจะห่างกัน 1 เสียงเต็ม (หมายถึงระดับความสูงต่ำของเสียง) แต่จะมี 2 คู่ที่ต่างกันครึ่งเสียง คือ ระหว่าง E, F และ B, C ไม่ใช่ครึ่งจังหวะอย่าเพิ่งงงล่ะ ตอนนี้เราพูดถึงเรื่องระดับของเสียงอยู่ไม่ใช่จังหวะ

            ในการแต่งเพลงหรือดนตรีสากลมักจะมีเสียงที่เป็นครึ่ง ๆ คือไม่ใช่เสียงเต็มแบบธรรมชาติซึ่งไม่มีกำหนดในสัญลักษณ์ดนตรีสากล จึงต้องมีการสร้างสัญลักษณ์เพื่อทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นหรือต่ำลงครึ่งเสียงและสัญลักษณ์ดังกล่าวก็คือเครื่องหมายชาร์ฟ (#) และแฟล็ท (b) นั่นเอง

            - เครื่องหมาย ชาร์ฟ (Sharp ; #) เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นครึ่งเสียงเช่น C# อ่านว่า ซี-ชาร์ฟ จะมีระดับเสียงสูงกว่า C อยู่ครึ่งเสียง

            - เครื่องหมาย แฟล็ท (Flat ; b) ตรงกันข้ามกับ # เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงต่ำลงครึ่งเสียงเช่น Eb อ่านว่า อี-แฟล็ท จะมีระดับเสียงต่ำกว่า E อยู่ครึ่งเสียง

            ดังนั้นจะต้องมีโน๊ตที่มีระดับเสียงซ้ำกันอันได้แก่ C# = Db , D# = Eb , F# = Gb , G# = Ab และ A# = Bb นอกจากนี้ยังมี Cb = B , B# = C , E# = F และ Fb = E ซึ่งแบบหลังมักไม่นิยมเขียนในรูป # , b

            เมื่อมีการกำหนดเครื่องหมาย # หรือ b ลงบน staff ที่ในช่องระหว่างเส้น หรือบนเส้นใดก็ตาม(ศึกษาจากเรื่อง scale ได้) จะมีผลบังคับให้ตัวโน๊ตทุก ๆ ตัวที่อยู่บนเส้นหรือในช่องนั้น ๆ ถูกบังคับด้วย # หรือ b เช่นกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงโน๊ตที่มีเสียงเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ช่องหรือบนเส้นใดของ staff ดังเช่น เมื่อมีการติดเครื่องหมาย # ไว้บนเส้นบนสุดของ staff ซึ่งเส้นนี้มีเสียง F อยู่ เมื่อมี # อยู่บนเส้นนี้จะมีผลให้โน๊ตทุกตัวที่อยู่บนเส้นนี้มีค่าเป็น F# ทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องเขียน # ไว้ที่โน๊ตทุก ๆ ตัว นอกจากนี้โน๊ตที่มีเสียง F ทั้งหมดเช่นในช่องล่างสุด(ระหว่างเส้นที่ 1 กับ 2) ซึ่งมีเสียง F เช่นกัน ก็จะกลายเป็น F# ไปโดยปริยาย สำหรับเครื่องหมาย b ก็เช่นเดียวกันแต่จะทำให้ค่าของโน๊ตลดลงครึ่งเสียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น